กิจกรรมรำไทย
ขอบคุณภาพจาก
สว.กระทุ่มล้ม โชว์รำไทยประยุกต์ คว้าแชมป์ ออกกำลังกายผู้สูงอายุ
รำวงมาตรฐาน
ศิลปะแห่งการฟ้อนรำที่งดงาม
พร้อมทั้งเป็นการละเล่นพื้นบ้านอย่างหนึ่งที่บ่งบอกถึงความสนุกสนาน
จากการฟ้อนรำกันเป็นคู่ ๆ เข้าจังหวะหญิง-ชาย
เพลงที่เป็นที่รู้จักในรำวงมาตรฐานก็เช่นเพลงงามแสงเดือน เพลงรำมาซิมารำ
ซึ่งเชื่อว่าหลาย ๆ คนคงได้เรียนผ่านหูผ่านตาในวิชานาฏศิลป์กันมาบ้างแน่นอน และในวันนี้
กระปุกดอทคอม จะมาทบทวนความรู้ในเรื่องรำวงมาตรฐาน
และร่วมช่วยกันอนุรักษ์ไว้เพื่อศิลปะการฟ้อนรำที่งดงามอ้อนช้อยนี้คงไว้ให้ลูกหลานของเราสืบไป
ประวัติความเป็นมาของรำวงมาตรฐาน
"รำวงมาตรฐาน" เป็นการแสดงที่มีวิวัฒนาการมาจาก "รำโทน" (กรมศิลปากร, 2550 :
136-143) เป็นการรำและการร้องของชาวบ้านซึ่งมีผู้รำทั้งชายและหญิง
รำกันเป็นคู่ ๆ รอบ ๆ ครกตำข้าวที่วางคว่ำไว้ หรือไม่ก็รำกันเป็นวงกลม
โดยมีโทนเป็นเครื่องดนตรีประกอบจังหวะ ลักษณะการรำและร้องเป็นไปตามความถนัด
ไม่มีแบบแผนกำหนดไว้ คงเป็นการรำและร้องง่าย ๆ
มุ่งเน้นที่ความสนุกสนานรื่นเริงเป็นสำคัญ เช่น เพลงช่อมาลี เพลงยวนยาเหล
เพลงหล่อจริงนะดารา เพลงตามองตา เพลงใกล้เข้าไปอีกนิด เป็นต้น ด้วยเหตุที่การรำชนิดนี้มีโทนเป็นเครื่องดนตรีประกอบจังหวะ
จึงเรียกการแสดงชุดนี้ว่า รำโทน
ต่อมา
เมื่อปี พ.ศ.2487 ในสมัยจอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญของการละเล่นรื่นเริงประจำชาติและเห็นว่าคนไทยนิยมเล่นรำโทนกันอย่างแพร่หลาย
ถ้าปรับปรุงการเล่นรำโทนให้เป็นระเบียบทั้งเพลงร้อง ลีลาท่ารำ
และการแต่งกายจะทำให้การเล่นรำโทนเป็นที่น่านิยมมากยิ่งขึ้น
จึงได้มอบหมายให้กรมศิลปากรปรับปรุงรำโทนเสียใหม่ให้เป็นมาตรฐาน
มีการแต่งเนื้อร้องทำนองเพลง และนำท่ารำจากเพลงแม่บทมากำหนดเป็นท่ารำเฉพาะ
แต่ละเพลงอย่างเป็นแบบแผน
ทั้งนี้
การรำวงมาตรฐานประกอบด้วยเพลงทั้งหมด
10 เพลง โดย กรมศิลปากรแต่งเนื้อร้องจำนวน 4 เพลง ดังต่อไปนี้
1.
เพลงงามแสงเดือน (Ngam
Sang Duan)
คำร้อง : หมื่นมานิตย์นเรศ
(นายเฉลิม เศวตนันท์) หัวหน้ากองการสังคีต กรมศิลปากร (ประพันธ์ในนามกรมศิลปากร)
ทำนอง : อาจารย์มนตรี ตราโมท
ความหมายเพลง : ยามที่แสงจันทร์ส่องมายังโลกทำให้โลกนี้ ดูสวยงาม
ผู้คนที่มาเล่นรำวงยามที่แสงจันทร์ส่องก็มีความงดงามด้วย
การรำวงนี้เพื่อให้มีความสนุกสนาน มีความสามัคคีกัน
และละทิ้งความทุกข์ให้หมดสิ้นไป
เนื้อเพลง
งามแสงเดือนมาเยือนส่องหล้า
|
งามใบหน้าเมื่ออยู่วงรำ
(ซ้ำ)
|
เราเล่นกันเพื่อสนุก
|
เปลื้องทุกข์วายระกำ
|
ขอให้เล่นฟ้อนรำ
|
เพื่อสามัคคีเอย
|
2.
เพลงชาวไทย (Chaw Thai)
คำร้อง : จมื่นมานิตย์นเรศ (นายเฉลิม เศวตนันท์)
หัวหน้ากองการสังคีต กรมศิลปากร (ประพันธ์ในนามกรม
ศิลปากร)
ทำนอง : อาจารย์มนตรี
ตราโมท
ความหมายเพลง : หน้าที่ที่ชาวไทยพึงมีต่อประเทศชาตินั้น
เป็นสิ่งที่ทุกคนควรกระทำ อย่าได้ละเลยไปเสีย
ในการที่เราได้มาเล่นรำวงกันอย่างสนุกสนาน
ปราศจากทุกข์โศกทั้งปวงนี้ก็เพราะว่าประเทศไทยเรามีเอก
ราช
ประชาชนมีเสรีในการคิดจะทำสิ่งใด ๆ
ดังนั้นเราจึงควรช่วยกันเชิดชูชาติไทยให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป เพื่อ
ความสุขยิ่ง
ๆ ขึ้นของไทยเราตลอดไป
เนื้อเพลง
ชาวไทยเจ้าเอ๋ย
|
ขออย่าละเลยในการทำหน้าที่
|
การที่เราได้เล่นสนุก
|
เปลื้องทุกข์สบายอย่างนี้
|
เพราะชาติเราได้เสรี
|
มีเอกราชสมบูรณ์
|
เราจึงควรช่วยชูชาติ
|
ให้เก่งกาจเจิดจำรูญ
|
เพื่อความสุขเพิ่มพูน
|
ของชาวไทยเราเอย
|
3. เพลงรำซิมารำ (Ram
ma si ma ram)
คำร้อง : จมื่นมานิตย์นเรศ
(นายเฉลิม เศวตนันท์) หัวหน้ากองการสังคีต กรมศิลปากร (ประพันธ์ในนาม
กรมศิลปากร)
ทำนอง : อาจารย์มนตรี
ตราโมท
ความหมายเพลง : ขอพวกเรามาเล่นรำวงกันให้สนุกสนานเถิดในยามว่างเช่นนี้จะได้คลายทุกข์
ถึงเวลางาน
เราก็จะทำงานกันจริง
ๆ เพื่อจะได้ไม่ลำบาก และการรำก็จะรำอย่างมีระเบียบแบบแผน
ตามวัฒนธรรมไทยของเราแล้วจะดูงดงามยิ่ง
เนื้อเพลง
รำมาซิมารำ
|
เริงระบำกันให้สนุก
|
ยามงานเราทำงานกันจริง
ๆ
|
ไม่ละไม่ทิ้งจะเกิดเข็ญขุก
|
ถึงยามว่างเราจึงรำเล่น
|
ตามเชิงเช่นเพื่อให้สร่างทุกข์
|
ตามเยี่ยงอย่างตามยุค
|
เล่นสนุกอย่างวัฒนธรรม
|
เล่นอะไรให้มีระเบียบ
|
ให้งามให้เรียบจึงจะคมขำ
|
มาซิมาเจ้าเอ๋ยมาฟ้อนรำ
|
มาเล่นระบำของไทยเราเอย
|
4. เพลงคืนเดือนหงาย (Ken Dern Ngai)
คำร้อง : จมื่นมานิตย์นเรศ
(นายเฉลิม เศวตนันท์) หัวหน้ากองการสังคีต กรมศิลปากร (ประพันธ์ในนามกรม
ศิลปากร)
ทำนอง : อาจารย์มนตรี
ตราโมท
ความหมายเพลง : เวลากลางคืน
เป็นคืนเดือนหงาย มีลมพัดมาเย็นสบายใจ แต่ก็ยังไม่สบายใจเท่ากับการที่
ได้ผูกมิตรกับผู้อื่น
และที่ร่มเย็นไปทั่ว ทุกแห่งยิ่งกว่าน้ำฝนที่โปรยลงมา
ก็คือการที่ประเทศไทยเป็นประเทศ
ที่เป็นเอกราช
มีธงชาติไทยเป็นเอกลักษณ์ ทำให้ร่มเย็นทั่วไป
เนื้อเพลง
ยามกลางคืนเดือนหงาย
|
เย็นพระพายโบกพริ้วปลิวมา
|
เย็นอะไรก็ไม่เย็นจิต
|
เท่าเย็นผูกมิตรไม่เบื่อระอา
|
เย็นร่มธงไทยปกไปทั่วหล้า
|
เย็นยิ่งน้ำฟ้ามาประพรมเอย
|
โดย
ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลย์สงคราม
แต่งเนื้อร้องเพิ่มอีก 6 เพลง
ดังนี้
ภาพจาก topten22photo / Shutterstock.com
5. เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ (Dong jan wan pen)
คำร้อง : ท่านผู้หญิงละเอียด
พิบูลสงครามทำนอง
ทำนอง : อาจารย์มนตรี
ตราโมท
ความหมายเพลง : พระจันทร์เต็มดวงที่ลอยอยู่บนท้องฟ้านั้นช่างดูสวยงาม
เพราะเป็นพระจันทร์ทรงกลด คือมีแสงเลื่อมกระจายออกรอบดวงจันทร์ทั้งดวง
แต่ถึงจะงามอย่างไรก็ยังไม่เท่าความงามของดวงหน้าหญิงสาว ที่ดูผุดผ่องมีน้ำมีนวล
อีกทั้งรูปร่างก็ดูสมส่วน กิริยาวาจาก็อ่อนหวานไพเราะ
สมแล้วกับที่เปรียบว่าหญิงไทยนี้คือดอกไม้
เนื้อเพลง :
ดวงจันทร์วันเพ็ญ
|
ลอยเด่นอยู่ในนภา
|
ทรงกลดสดสี
|
รัศมีทอแสงงามตา
|
แสงจันทร์อร่าม
|
ฉายงามส่องฟ้า
|
ไม่งามเท่าหน้า
|
นวลน้องยองใย
|
งามเอยแสงงาม
|
งามจริงยอดหญิงชาติไทย
|
งามวงพักตร์ยิ่งดวงจันทรา
|
จริตกิริยานิ่มนวลละไม
|
วาจากังวาน
|
อ่อนหวานจับใจ
|
รูปทรงสมส่วน
|
ยั่วยวนหทัย
|
สมเป็นดอกไม้
|
ขวัญใจชาติเอย
|
6. เพลง
ดอกไม้ของชาติ (Dok mai kong chat)
คำร้อง : ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม
ทำนอง : อาจารย์มนตรี
ตราโมท
ความหมายเพลง : ผู้หญิงไทยเปรียบเสมือนดอกไม้อันเป็นเอกลักษณ์ของประเทศไทย
การร่ายรำด้วยการ
แสดงออกอย่างอ่อนช้อย
งดงามตามรูปแบบความเป็นไทยแสดงให้เห็นถึงความเจริญทางด้านวัฒนธรรม
ของคนไทย
นอกจากผูหญิงจะดีเด่นทางด้านความงามแล้วยังมีความอดทน สามารถทำงานบ้าน ช่วยเหลือ
งานผู้ชายหรือแม้งานสำคัญ
ๆ ระดับประเทศก็สามารถช่วยเหลือได้เป็นอย่างดีไม่แพ้ผู้ชาย
เนื้อเพลง :
(สร้อย) ขวัญใจดอกไม้ของชาติ
|
งามวิลาศนวยนาดร่ายรำ
(ซ้ำ)
|
เอวองค์อ่อนงาม
|
ตามแบบนาฏศิลป์
|
ชี้ชาติไทยเนาว์ถิ่น
|
เจริญวัฒนธรรม (สร้อย)
|
งามทุกสิ่งสามารถ
|
สร้างชาติช่วยชาย
|
ดำเนินตามนโยบาย
|
สู้ทนเหนื่อยยากตรากตรำ
(สร้อย)
|
7. เพลงหญิงไทยใจงาม (Ying Thai Jai Ngam)
คำร้อง : ท่านผู้หญิงละเอียด
พิบูลสงคราม
ทำนอง : ครูเอื้อ
สุนทรสนาน
ความหมายเพลง : ดวงจันทร์ที่ส่องแสงอยู่บนท้องฟ้ามีความงดงามมาก
และยิ่งได้แสงอันระยิบระยับของดวงดาวด้วยแล้ว
ยิ่งทำให้ดวงจันทร์นั้นงามเด่นยิ่งขึ้น
เปรียบเหมือนกับดวงหน้าของหญิงสาวที่มีความงดงามอยู่แล้ว ถ้ามีคุณความดีด้วย
ก็จะทำให้หญิงนั้นงามเป็นเลิศ ผู้หญิงไทยนี้เป็นขวัญใจของชาติ
เป็นที่เชิดหน้าชูตาของชาติ รูปร่างก็งดงาม จิตใจก็กล้าหาญ
ดังที่มีชื่อเสียงปรากฏอยู่ทั่วไป
เนื้อเพลง
เดือนพราว
|
ดาวแวววาวระยับ
|
แสงดาวประดับ
|
ส่งให้เดือนงามเด่น
|
ดวงหน้า
|
โสภาเพียงเดือนเพ็ญ
|
คุณความดีที่เห็น
|
เสริมให้เด่นเลิศงาม
|
ขวัญใจ
|
หญิงไทยส่งศรีชาติ
|
รูปงามพิลาศ
|
ใจกล้ากาจเรืองนาม
|
เกียรติยศ
|
ก้องปรากฏทั่วคาม
|
หญิงไทยใจงาม
|
ยิ่งเดือนดาวพราวแพรว
|
8.
เพลง ดวงจันทร์ขวัญฟ้า (Dong Jan Kwan Fa)
คำร้อง : ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงครามทำนอง
ทำนอง : ครูเอื้อ สุนทรสนาน
ความหมายเพลง : ในเวลาค่ำคืนท้องฟ้ามีดวงจันทร์ประจำอยู่ ในใจของชายก็มีหญิงอันเป็นสุดที่รักประจำอยู่เช่นกัน
สิ่งที่เทิดทูนยกย่องไว้ก็คือ ชาติไทยที่เป็นเอกราช มีอิสระแก่ตนไม่ขึ้นกับใคร
และสิ่งที่แนบสนิทอยู่ในใจของชายก็คือหญิงอันเป็นสุดที่รัก
เนื้อเพลง :
ดวงจันทร์ขวัญฟ้า
|
ชื่นชีวาขวัญพี่
|
จันทร์ประจำราตรี
|
แต่ขวัญพี่ประจำใจ
|
ที่เทิดทูนคือชาติ
|
เอกราชอธิปไตย
|
ถนอมแนบสนิทใน
|
คือขวัญใจพี่เอย
|
9.
เพลงยอดชายใจหาญ (Yod Shy Jai Han)
คำร้อง : ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงครามทำนอง
ทำนอง : ครูเอื้อ สุนทรสนาน
ความหมายเพลง : ขอผูกมิตรไมตรีกับชายผู้กล้าหาญ
และจะขอมีส่วนในการทำประโยชน์ทำหน้าที่ของชาวไทย แม้จะลำบากยากแค้น
ก็จะขอช่วยเหลือจนเต็มความสามารถ
โอ้ยอดชายใจหาญ
|
ขอสมานไมตรี
|
น้องขอร่วมชีวี
|
กอร์ปกรณีกิจชาติ
|
แม้สุดยากลำเค็ญ
|
ไม่ขอเว้นเดินตาม
|
น้องจักสู้พยายาม
|
ทำเต็มความสามารถ
|
เนื้อเพลง :
10. เพลงบูชานักรบ
(Boo Cha Nak Rop)
คำร้อง : ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงครามทำนอง
ทำนอง : ครูเอื้อ
สุนทรสนาน
ความหมายเพลง : น้องรักและบูชาพี่
เพราะมีความกล้าหาญ เป็นนักสู้ที่เก่งกล้าสามารถสมกับเป็นชายชาติ
นักรบที่มีความมานะอดทน
แม้ว่าจะยากเย็นแสนเข็ญ พี่ก็ต่อสู้จนชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่ว นอกจากนี้
ยังขยันขันแข็งในงานทุกอย่าง อุตส่าห์สร้างหลักฐานให้มั่นคง
และพี่ยังมีความรักในชาติบ้านเมืองยิ่งกว่าชีวิต ยอม
สละได้แม้ชีวิตและเลือดเนื้อเพื่อให้ชาติไทยคงอยู่คู่โลกต่อไป
เนื้อเพลง
น้องรักรักบูชาพี่
|
ที่มั่นคงที่มั่นคงกล้าหาญ
|
เป็นนักสู้เชี่ยวชาญ
|
สมศักดิ์ชาตินักรบ
|
น้องรักรักบูชาพี่
|
ที่มานะที่มานะอดทน
|
หนักแสนหนักพี่ผจญ
|
เกียรติพี่ขจรจบ
|
น้องรักรักบูชาพี่
|
ที่ขยันที่ขยันกิจการ
|
บากบั่นสร้างหลักฐาน
|
ทำทุกด้านทำทุกด้านครันครบ
|
น้องรักรักบูชาพี่
|
ที่รักชาติที่รักชาติยิ่งชีวิต
|
เลือดเนื้อพี่พลีอุทิศ
|
ชาติยงอยู่ยงอยู่คู่พิภพ
|
ท่ารำวงมาตรฐาน
ที่กำหนดไว้เป็นแบบแผนทั้ง 10 เพลง ดังนี้
เพลง
|
ท่ารำชาย
|
ท่ารำหญิง
|
เพลงงามแสงเดือน
|
ท่าสอดสร้อยมาลา
|
ท่าสอดสร้อยมาลา
|
เพลงชาวไทย
|
ท่าชักแป้งผัดหน้า
|
ท่าชักแป้งผัดหน้า
|
เพลงรำมาซิมารำ
|
ท่ารำส่าย
|
ท่ารำส่าย
|
เพลงคืนเดือนหงาย
|
ท่าสอดสร้อยมาลาแปลง
|
ท่าสอดสร้อยมาลาแปลง
|
เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ
|
ท่าแขกเต้าเข้ารัง
และท่าผาลาเพียงไหล่
|
ท่าแขกเต้าเข้ารัง
และท่าผาลาเพียงไหล่
|
เพลงดอกไม้ของชาติ
|
ท่ารำยั่ว
|
ท่ารำยั่ว
|
เพลงหญิงไทยใจงาม
|
ท่าพรหมสี่หน้า
และท่ายูงฟ้อนหาง
|
ท่าพรหมสี่หน้า
และท่ายูงฟ้อนหาง
|
เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า
|
ท่าช้างประสานงา
ชายท่าจันทร์ทรงกลด
|
ท่าช้างประสานงา
ชายท่าจันทร์ทรงกลด
|
เพลงยอดชายใจหาญ
|
ท่าจ่อเพลิงกาล
|
ท่าชะนีร่ายไม้
|
เพลงบูชานักรบ
|
ท่าจันทร์ทรงกลด
และท่าขอแก้ว
|
ท่าขัดจางนาง
และท่าล่อแก้ว
|
ทั้งนี้
ผู้คิดประดิษฐ์ท่ารำประกอบเพลงรำวงทั้ง 10 เพลงนั้นคือ
คณะอาจารย์ด้านนาฏศิลป์ของกรมศิลปากรได้ช่วยกันคิดประดิษฐ์ท่ารำให้งดงามถูกต้องตามหลักนาฏศิลป์กำหนดให้เป็นแบบมาตรฐาน
ผู้คิดประดิษฐ์ท่ารำของรำวงมาตรฐาน คือ หม่อมต่วน (นางศุภลักษณ์ ภัทรนาวิก)
ครูมัลลี คงประภัศร์ ครูลมุล ยมะคุปต์
และครูผัน โมรากุล ต่อมาได้มีการนำรำวงนี้ไปสลับกับวงลีลาศ
ทำให้ชาวต่างประเทศรู้จัก รำวง เพื่อให้ประชาชนชาวไทยได้เล่นกันแพร่หลาย
และมีแบบแผนอันเดียวกัน กรมศิลปากรจึงเรียกว่า "รำวง
มาตรฐาน"
รูปแบบและลักษณะการแสดง
รำวงมาตรฐาน เป็นการรำหมู่ประกอบด้วยผู้แสดง 8 คน
ท่ารำประดิษฐ์ขึ้นจากท่ารำมาตรฐานในเพลงแม่บท ความสวยงามของการรำ
อยู่ที่กระบวนท่ารำที่มีลักษณะเฉพาะในแต่ละเพลงและเครื่องแต่งกายไทยในสมัยต่าง ๆรวมทั้งรูปแบบการแสดงในลักษณะการแปรแถวเป็นวงกลม
การรำแบ่งเป็นขั้นตอนต่าง ๆ ได้ ดังนี้
ขั้นตอนที่
1 : ผู้แสดงชายและหญิง เดินออกมาเป็นแถวตรง 2
แถว หันหน้าเข้าหากัน ต่างฝ่ายทำความเคารพด้วยการไหว้
ขั้นตอนที่ 2
: รำแปรแถวเป็นวงกลมตามทำนองเพลงและรำตามบทร้อง รวม 10 เพลง โดยเปลี่ยนท่ารำไปตามเพลงต่าง ๆ
เริ่มตั้งแต่เพลงงามแสงเดือน เพลงชาวไทย เพลงรำซิมารำ เพลงคืนเดือนหงาย
เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ เพลงดอกไม้ของชาติ เพลงหญิงไทยใจงาม เพลงดวงจันทร์ขวัญฟ้า
เพลงยอดชายใจหาญ และเพลงบูชานักรบ
ขั้นตอนที่ 3 : เมื่อรำจบบทร้องในเพลงที่ 10
ผู้แสดงรำเข้าเวทีทีละคู่ ตามทำนองเพลงจนจบ
การแต่งกาย
มีการกำหนดการแต่งกายของผู้แสดง ให้มีระเบียบด้วยการใช้ชุดไทย
และชุดสากลนิยม โดยแต่งเป็นคู่ ๆ รับกันทั้งชายและหญิง ซึ่งสามารถแต่งได้ 4
แบบ คือ
แบบที่ 1 แบบชาวบ้าน
ชาย : นุ่งผ้าโจงกระเบน สวมเสื้อคอพวงมาลัย
เอวคาดผ้าห้อยชายด้านหน้า
หญิง : นุ่งโจงกระเบน ห่มผ้าสไบอัดจีบ
ปล่อยผม ประดับดอกไม้ที่ผมด้านซ้าย
คาดเข็มขัดใส่เครื่องประดับ
แบบที่ 2 แบบรัชกาลที่ 5
ชาย : นุ่งผ้าโจงกระเบน
สวมเสื้อราชปะแตน ใส่ถุงเท้ารองเท้า
หญิง : นุ่งผ้าโจงกระเบน สวมเสื้อลูกไม้ สไบพาดบ่าผูกเป็นโบว์
ทิ้งชายไว้ข้างลำตัวด้านซ้าย ใส่เครื่องประดับมุก
แบบที่
3
แบบสากลนิยม
ชาย : นุ่งกางเกง สวมสูท ผูกเนคไท
หญิง : นุ่งกระโปรงป้ายข้าง ยาวกรอมเท้า ใส่เสื้อคอกลมแขนกระบอก
แบบที่ 4 แบบราตรีสโมสร
ชาย : นุ่งกางเกง สวมเสื้อคอพระราชทาน ผ้าคาดเอวห้อยชายด้านหน้า
หญิง : นุ่งโปรงยาวจีบหน้านาง ใส่เสื้อจับเดฟ
ชายผ้าห้อยจากบ่าลงไปทางด้านล่าง เปิดไหล่ขวา ศีรษะทำผมเกล้าเป็นมวยสูง ใส่เกี้ยว
และเครื่องประดับ